Joe Shely และ Rod Fergusson พูดคุยถึงวิธีที่ระบบ Campaign ของ Diablo 4 ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับโลก Open-World และวิธีการออกสำรวจพื้นที่ต่างๆ ภายในเกมเพื่อให้ได้ไอเทมเป็นรางวัล การเป็นเกมโลกเปิดมันจะช่วยให้ผู้เล่นจัดการกับเนื้อเรื่องตามลำดับที่พวกเขาเลือกได้ง่าย ในเกม Diablo ครั้งก่อน การดำเนินเรื่องจะเป็นแบบเส้นตรงและมีโครงสร้างเป็น Acts เรียงลำดับไปทั้งใน Diablo 2 และ Diablo 3 แต่ใน Diablo 4 จะต่างออกไปอย่างชัดเจนโดยจะแนะนำเป็นภูมิภาคห้าแห่ง ซึ่งแต่ละแห่งจะเป็นตัวแทนของโซนภูมิประเทศที่แตกต่างกันไป

ใน Diablo 4 ผู้เล่นมีอิสระที่จะเจาะลึกเข้าไปในถิ่นทุรกันดารอันตรายและดันเจี้ยนที่ชั่วร้ายของ Sanctuary โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเข้าสู่พื้นที่ที่มีระดับสูงเกินไปเพราะโลกมันจะกว้างขึ้นเองรอบตัวพวกเขา ด้วยการเพิ่ม World Tiers แทนตัวเลือกความยากของเกม การนำพื้นฐานที่ดีจาก Diablo 2 และ Diablo 3 มาสร้างโซนและระบบความคืบหน้าโดยรวมภายในเกม ส่วนหนึ่งของของบทสัมภาษณ์กับ IGN ผู้กำกับเกม Joe Shely และผู้จัดการทั่วไป Rod Fergusson เกี่ยวกับวิธีที่ Diablo 4 จัดการกับโลกที่เปิดกว้างและวิธีจัดการกับระบบ Campaign ที่ต่างออกไปด้วยเหตุดังกล่าว การแนะนำโลกที่เปิดกว้างในแฟรนไชส์ Diablo ทำให้ Blizzard ตระหนักตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าการเล่าเรื่องแบบเส้นตรงไม่สามารถใช้งานได้ในภาคที่ 4 อีกต่อไป มันต้องแยกสาขาออกไปให้หลากหลายขึ้นแม้ว่าเนื้อเรื่องจะยังเป็นเส้นตรงอยู่ก็ตาม ซึ่งดูเหมือนผู้เล่นจะยังคงสามารถเลือกภูมิภาค (Acts) ที่จะดำเนินการหลังจากจบบทนำของเกมได้
Fergusson กล่าวต่อไปว่าถึงแม้จะมีเนื้อเรื่องหลักที่ชัดเจนแต่ผู้เล่นก็ไม่จำเป็นต้องถูกชี้นำให้ไปทางนั้นทางนี้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเล่นร่วมกับผู้อื่น เกมจะอนุญาตให้พวกเขาสำรวจภูมิภาคและระดับผ่านเควสรอง ดันเจี้ยน และโลกเปิดโดยรวมได้อิสระ เมื่อพูดถึงการออกแบบโลกของเกมที่สมดุล Joe Shely กล่าวว่าปรัชญาของ Diablo 4 นั้นเกี่ยวกับความหนาแน่นของมอนสเตอร์ การเดินผ่านดินแดนของ Sanctuary ควรรู้สึกตื่นเต้นและปราศจากช่วงเวลาที่น่าเบื่อ แต่อย่าไปถึงจุดที่มีศัตรูจำนวนมากเกินไปทำให้หน้าจอรกและทำให้ผู้เล่นผ่านโซนนั้นได้ยาก และด้วย Diablo 4 ที่หลอมรวมจุดเด่นอื่นๆ ในแฟรนไชส์นี้ มันยังช่วยให้มีเวลาอีกเล็กน้อยในการสร้างโซนที่ใหญ่ขึ้นได้ด้วย
แม้ว่า Helltides และ Nightmare Dungeons จะเป็นส่วนสำคัญของเกมหลังจบเนื้อหาหลักแล้ว การสำรวจภูมิภาคอย่างละเอียดอีกครั้งในขณะที่ระดับผู้เล่นสูงขั้นก็ได้รับรางวัลที่สูงขึ้นเช่นกัน และนี่คือที่มาของระบบ Renown ของเกมนอกเหนือจากการรับคะแนนทักษะจากการปรับระดับแล้ว ผู้เล่น Diablo 4 จะได้รับรางวัลด้วยคะแนนทักษะโดยการทำการเคลียร์โซนของภูมิภาคให้สำเร็จซึ่งมันจะแตกต่างจากคะแนนทักษะปกติ สิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับตัวละครอื่น ๆ ซึ่งกระตุ้นการสำรวจเชิงรุกของแต่ละเพื่นที่นั่นเอง
Diablo 4 Closed Beta จะสิ้นสุดในอีกไม่กี่วันนี้ แต่ผู้เล่นจะมีโอกาสได้ลองใช้โอเพ่นเวิลด์ของเกมในช่วงต้นปี 2023 และตัดสินใจด้วยตัวเองว่าสมควรแก่การซื้อมาเล่นหรือไม่
Diablo 4 จะเปิดตัวในปี 2023 สำหรับ PC, PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One และ Xbox Series X/S
ที่มา: https://gamerant.com