Forgotten Saga DLC ตัวใหม่สไตล์ Roguelike ของ Assassin’s Creed Valhalla ที่จะนำผู้เล่นมาสู่ดินแดน Niflheim ในฐานะ Odin ได้เผยวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเสียที โดยทาง Ubisoft ผู้พัฒนาและจัดจำหน่ายได้เปิดตัว DLC นี้ตั้งแต่เดือนที่แล้วในวิดีโอฉลองครบรอบ 15 ปีของ Assassin’s Creed โดยใน Forgotten Saga DLC นี้จะเป็น Free Gameplay Mode ซึ่งผู้เล่นจะต้องใช้ประโยชน์จากทักษะและการอัพเกรดที่เก็บไว้หลังจากการตายในแต่ละครั้ง เป็นสไตล์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในเกมซีรีส์นี้
จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปัญหาทางเทคนิคในการเปิดตัวเกมครั้งแรงของ Assassin’s Creed Valhalla ปี 2020 แต่หลังจากนั้นตัวเกมก็ได้เสียงตอบรับเป็นอย่างดีมากจากทั้งนักวิจารณ์และผู้เล่นส่วนใหญ่ กลายเป็นเกมที่ขายดีที่สุดเกมหนึ่งในปี 2020 ความสำเร็จของ Assassin’s Creed Valhalla ทำให้ Ubisoft ให้การสนับสนุนเกมดังกล่าวต่อไปทั้งการเกมที่มีการอัพเดทเกมรวมไปถึง DLC จากนั้นอีกปีครึ่งหลังเปิดตัว ในปีนี้ Ubisoft ได้เปิดตัวส่วนเสริมภายใต้ชื่อ Dawn of Ragnarok รวมไปถึง AC Valhalla Discovery Tour: Viking Age ที่อัพเดทให้ผู้เล่นได้เข้าถึงฟรีๆ เพื่อให้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคกลางของอังกฤษและนอร์เวย์ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องของ Assassin’s Creed Valhalla โดยตรง จนล่าสุดทางผู้พัฒนาได้เปิดตัว Forgotten Saga DLC ซึ่งจะเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของเกมไปเป็นสไตล์ Roguelike
ตามรายงานจาก GameRant ผู้ใช้ Reddit นามว่า Adam135790 ได้เผยภาพเกี่ยวกับวิดีโอล่าสุด Assassin’s Creed Valhalla Forgotten Saga DLC บนช่อง YouTube ของ Ubisoft Gameplan ซึ่งในช่องความคิดเห็นได้เผยว่า DLC ตัวนี้มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 2 สิงหาคม 2022 แถมยังตอบยืนยันกับแฟนๆ อีกว่า Forgotten Saga DLC จะออกมาให้สัมผัสแน่นอนในสัปดาห์หน้านี้


ในวิดีโอตัวอย่างเล็กน้อยที่ออกมา Assassin’s Creed Valhalla Forgotten Saga DLC จะมีสไตล์การเล่นที่แตกต่างตาบแบบฉบับของเกม Roguelike อีกทั้งยังมีการทดลองใส่ชุดแต่งกายใหม่ๆ รวมไปถึงค้นหาพื้นที่ลับในเกมบ้างเล็กน้อยและพ่อค้าตัวใหม่ที่จะพบเจอภายในเกม ซึ่งถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนสไตล์การเล่นไปบ้างสำหรับ DLC ตัวนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร Assassin’s Creed ก็เป็นหนึ่งในเกมเรือธงของค่าย Ubisoft ที่ได้รับการเอาใจใส่จากผู้พัฒนาอย่างไม่ขาดสาย ความท้าทายใหม่ในดินแดนที่ถูกทิ้งร้างกับ และการเผชิญหน้ากับ Hel เทพธิดาแห่งความตายตามตำนานของชาวนอร์ส ถือว่าน่าสนใจมาก
ที่มา: https://screenrant.com